อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค คือ

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค คือ

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค หรือ อุปกรณ์เครือข่าย (Networking Devices) เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยในการเชื่อมต่อและการสื่อสาร

ระหว่างคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่าย อุปกรณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบัน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและการสื่อสารข้อมูลมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา

 

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค คืออะไร ทำความรู้จักกับอุปกรณ์สำคัญในเครือข่าย

 

ประเภทของอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค

อุปกรณ์เน็ตเวิร์คมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีหน้าที่และการทำงานที่แตกต่างกันไปดังนี้

1. เราเตอร์ (Router)

เราเตอร์ (Router)

เราเตอร์ (Router) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อและควบคุมการสื่อสารระหว่างเครือข่ายต่างๆ ทั้งเครือข่ายภายในบ้าน สำนักงาน หรือองค์กรขนาดใหญ่ หน้าที่หลักของเราเตอร์คือการกำหนดเส้นทางสำหรับการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่ถูกต้องภายในเครือข่าย หรือจากเครือข่ายหนึ่งไปยังเครือข่ายอื่นๆ

 

เราเตอร์ทำงานโดยการรับข้อมูล (ในรูปของแพ็กเก็ต) จากอุปกรณ์ต้นทาง เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน จากนั้นจะวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวเพื่อกำหนดเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการส่งต่อไปยังปลายทาง ซึ่งอาจเป็นอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายเดียวกันหรือในเครือข่ายที่ต่างกัน

 

นอกจากนี้ เราเตอร์ยังมีความสามารถในการแปลงข้อมูลระหว่างเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และมีฟังก์ชันด้านความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต เช่น การใช้ฟิลเตอร์ IP หรือการกำหนดกฎการเข้าใช้งานของผู้ใช้งานภายในเครือข่าย

 

ในปัจจุบัน เราเตอร์ยังมักรวมฟังก์ชันอื่น ๆ เข้ามาไว้ในตัวเดียวกัน เช่น การเป็นแอคเซสพอยต์ (Access Point) สำหรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือการเป็นสวิตช์ (Switch) สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวผ่านสาย LAN ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและความครอบคลุมในการใช้งานภายในบ้านหรือสำนักงาน

 

2. สวิตช์ (Switch)

Switch

สวิตช์ (Switch) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเครือข่ายเดียวกัน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ หรือเซิร์ฟเวอร์ โดยสวิตช์จะทำหน้าที่รับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หลักการทำงานของสวิตช์คือการรับข้อมูลจากอุปกรณ์ต้นทาง จากนั้นจะตรวจสอบที่อยู่ MAC (Media Access Control) ของอุปกรณ์ปลายทางในเครือข่าย และส่งข้อมูลนั้นไปยังพอร์ตที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทางโดยตรง วิธีการนี้ช่วยลดการชนกันของข้อมูลภายในเครือข่าย เพราะสวิตช์จะส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการรับเท่านั้น ไม่ใช่ส่งไปยังทุกอุปกรณ์เหมือนกับฮับ (Hub)

 

สวิตช์มีหลายประเภทและสามารถแบ่งออกได้ตามจำนวนพอร์ตที่มีอยู่ เช่น สวิตช์ที่มี 8 พอร์ต, 16 พอร์ต, หรือ 24 พอร์ต ซึ่งสามารถเลือกใช้ตามขนาดของเครือข่ายและจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ สวิตช์ยังสามารถแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ สวิตช์ที่มีการจัดการ (Managed Switch) และสวิตช์ที่ไม่มีการจัดการ (Unmanaged Switch)

 

● สวิตช์ที่มีการจัดการ (Managed Switch): ให้ความยืดหยุ่นและควบคุมการทำงานได้มากขึ้น เช่น การกำหนด VLAN (Virtual LAN) การกำหนด QoS (Quality of Service) และการตรวจสอบปัญหาภายในเครือข่าย

 

● สวิตช์ที่ไม่มีการจัดการ (Unmanaged Switch): ใช้งานง่ายและไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดเล็กที่ไม่ต้องการการจัดการเครือข่ายที่ซับซ้อน

 

ด้วยการทำงานที่รวดเร็วและแม่นยำ สวิตช์จึงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับเครือข่ายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายภายในบ้าน สำนักงาน หรือองค์กรขนาดใหญ่ ช่วยให้การรับส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีการขัดข้อง

 

3. โมเด็ม (Modem)

Modem

โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายภายในบ้านหรือสำนักงานกับอินเทอร์เน็ต โดยทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลจากคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ สายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ และในทางกลับกัน โมเด็มยังทำหน้าที่แปลงสัญญาณจากอินเทอร์เน็ตกลับมาเป็นสัญญาณดิจิทัลเพื่อให้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เข้าใจและใช้งานได้

 

คำว่า “โมเด็ม” มาจากคำว่า “Modulator-Demodulator” ซึ่งอธิบายถึงกระบวนการทำงานของอุปกรณ์นี้ โดยมีสองส่วนหลัก

 

Modulation (การมอดูเลต): โมเด็มจะรับสัญญาณดิจิทัลจากคอมพิวเตอร์และแปลงเป็นสัญญาณแอนะล็อกหรือสัญญาณรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้สามารถส่งผ่านสื่อกลางได้ เช่น สายโทรศัพท์หรือสายเคเบิล

 

Demodulation (การดีมอดูเลต): โมเด็มจะรับสัญญาณจากอินเทอร์เน็ตที่ส่งผ่านสื่อกลางเข้ามา และแปลงกลับเป็นสัญญาณดิจิทัลที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเข้าใจได้

 

โมเด็มมีหลายประเภทตามสื่อกลางที่ใช้ในการเชื่อมต่อ เช่น

● โมเด็มแบบสายโทรศัพท์ (Dial-up Modem): ใช้สายโทรศัพท์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ความเร็วในการเชื่อมต่อค่อนข้างต่ำและมักถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีที่เร็วกว่า

 

● โมเด็ม DSL (Digital Subscriber Line Modem): ใช้สายโทรศัพท์เช่นเดียวกับ Dial-up แต่มีความเร็วสูงกว่า และสามารถใช้งานโทรศัพท์พร้อมกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

 

● โมเด็มเคเบิล (Cable Modem): ใช้สายเคเบิลในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มักใช้ในบริการอินเทอร์เน็ตเคเบิลที่มีความเร็วสูง

 

● โมเด็มไฟเบอร์ (Fiber Modem): ใช้สายไฟเบอร์ออปติกในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ให้ความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูงมากเมื่อเทียบกับโมเด็มประเภทอื่นๆ

 

ในปัจจุบัน โมเด็มมักถูกรวมเข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เราเตอร์ เพื่อให้สามารถแชร์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องได้ภายในบ้านหรือสำนักงาน ทำให้การใช้งานสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

4. ฮับ (Hub)

ฮับ (Hub)

ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายพื้นฐานที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายๆ ตัวภายในเครือข่ายเดียวกัน เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ หรือเซิร์ฟเวอร์ โดยฮับทำหน้าที่รับสัญญาณข้อมูลจากอุปกรณ์หนึ่งในเครือข่ายและส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังอุปกรณ์ทุกตัวที่เชื่อมต่อกับฮับ

 

ลักษณะการทำงานของฮับคือการกระจายข้อมูลไปยังทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ตของมัน ซึ่งแม้ว่าข้อมูลนั้นจะไม่จำเป็นต้องถูกส่งไปยังทุกอุปกรณ์ก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาการชนกันของข้อมูล (Collision) ภายในเครือข่ายได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเครือข่ายที่มีการใช้งานสูง ซึ่งทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลลดลง

 

ฮับสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก

1.Active Hub (ฮับแบบแอคทีฟ): ฮับประเภทนี้มีการจ่ายพลังงานให้กับสัญญาณที่ได้รับ ก่อนที่จะส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งช่วยให้สัญญาณสามารถส่งไปได้ไกลขึ้นและมีความชัดเจนมากขึ้น

 

2. Passive Hub (ฮับแบบพาสซีฟ): ฮับประเภทนี้เพียงแค่รับสัญญาณและส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นๆ โดยไม่มีการจ่ายพลังงานให้กับสัญญาณ สัญญาณที่ผ่านไปอาจมีความเข้มอ่อนลงเมื่อเทียบกับฮับแบบแอคทีฟ

เนื่องจากฮับทำงานโดยการส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ทุกตัวในเครือข่าย ทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายที่ใช้ฮับอาจต่ำลงเมื่อมีจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อมากขึ้น ปัจจุบันฮับเริ่มถูกแทนที่ด้วยสวิตช์ (Switch) ซึ่งมีความสามารถในการส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการเท่านั้น ทำให้การสื่อสารในเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดปัญหาการชนกันของข้อมูล

 

5. แอคเซสพอยต์ (Access Point)

Access Point

แอคเซสพอยต์ (Access Point) หรือเรียกสั้นๆ ว่า AP เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ไร้สาย เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต กับเครือข่ายแบบมีสาย (Wired Network) แอคเซสพอยต์จะสร้างเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายผ่านสัญญาณไร้สายได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายเชื่อมต่อโดยตรงกับเราเตอร์หรือสวิตช์

 

การทำงานของแอคเซสพอยต์

แอคเซสพอยต์ ทำงานโดยการเชื่อมต่อกับเราเตอร์หรือสวิตช์ผ่านสายแลน (Ethernet) และส่งสัญญาณไร้สายไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ในบริเวณที่ครอบคลุม เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกับสัญญาณ Wi-Fi ที่แอคเซสพอยต์สร้างขึ้น ข้อมูลจะถูกส่งผ่านแอคเซสพอยต์ไปยังเราเตอร์หรือสวิตช์ จากนั้นจึงถูกส่งไปยังเครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ตตามต้องการ

 

ประโยชน์ของแอคเซสพอยต์

● การขยายพื้นที่ครอบคลุมของสัญญาณ Wi-Fi: ในบางครั้งเราเตอร์เพียงตัวเดียวอาจไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของบ้านหรือสำนักงานได้ การติดตั้งแอคเซสพอยต์เพิ่มเติมสามารถช่วยขยายพื้นที่ครอบคลุมของสัญญาณ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้อย่างราบรื่นในทุกมุมของสถานที่

 

● การรองรับผู้ใช้งานหลายคน: แอคเซสพอยต์ที่มีคุณภาพสูงสามารถรองรับผู้ใช้งานหลายคนพร้อมกันได้ โดยไม่ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่อลดลงมากนัก ทำให้เหมาะสำหรับสถานที่ที่มีการใช้งานเครือข่ายหนาแน่น เช่น สำนักงาน โรงแรม หรือสถานศึกษา

 

ประเภทของแอคเซสพอยต์

1.Standalone Access Point: เป็นแอคเซสพอยต์ที่ทำงานได้โดยอิสระ มักใช้ในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กที่ไม่ต้องการการจัดการซับซ้อน

 

2.Controller-Based Access Point: เป็นแอคเซสพอยต์ที่ต้องทำงานร่วมกับตัวควบคุม (Controller) เหมาะสำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ต้องการการจัดการและควบคุมที่ซับซ้อน เช่น การจัดการหลาย ๆ แอคเซสพอยต์ในเครือข่ายเดียวกัน

 

ด้วยคุณสมบัติและความสามารถในการขยายเครือข่าย แอคเซสพอยต์จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสร้างเครือข่ายไร้สายที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมพื้นที่กว้าง

 

6. เกตเวย์ (Gateway)

Protocol Gateway

เกตเวย์ (Gateway) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่มีโปรโตคอลหรือสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน โดยทำหน้าที่เป็น “ประตู” ที่ช่วยให้ข้อมูลสามารถผ่านจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

 

การทำงานของเกตเวย์

เกตเวย์ทำงานโดยการแปลงข้อมูลจากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกหนึ่งรูปแบบ เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายที่มีความแตกต่างกันได้ ตัวอย่างเช่น:

 

● การแปลงโปรโตคอล: เกตเวย์อาจแปลงโปรโตคอลการสื่อสารจากเครือข่ายหนึ่ง เช่น TCP/IP ไปเป็นโปรโตคอลอื่นที่ใช้ในเครือข่ายอีกเครือข่ายหนึ่ง

 

● การแปลงรูปแบบข้อมูล: เกตเวย์อาจแปลงรูปแบบข้อมูล เช่น การแปลงจากข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิทัลไปเป็นสัญญาณแอนะล็อก

 

ประเภทของเกตเวย์

1.Application Gateway: ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างแอปพลิเคชันต่างๆ โดยทำการแปลข้อมูลและควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชัน ตัวอย่างเช่น เกตเวย์สำหรับการเชื่อมต่อระบบอีเมลกับระบบการจัดการเอกสาร

 

2.Network Gateway: เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่มีสถาปัตยกรรมหรือโปรโตคอลที่แตกต่างกัน เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายภายในองค์กรกับอินเทอร์เน็ต

 

3.VoIP Gateway: ใช้ในการแปลงสัญญาณเสียงจากโทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยีโทรศัพท์ดั้งเดิม (เช่น PSTN) ให้เป็นสัญญาณที่สามารถส่งผ่านเครือข่าย IP สำหรับการโทรผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP)

 

4.Email Gateway: ใช้ในการแปลงและส่งต่ออีเมลระหว่างระบบอีเมลที่ต่างกัน หรือระหว่างระบบอีเมลกับบริการภายนอก

 

ประโยชน์ของเกตเวย์

● การเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกัน: ช่วยให้เครือข่ายที่มีโปรโตคอลหรือเทคโนโลยีที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

● การเพิ่มความปลอดภัย: เกตเวย์สามารถใช้ในการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและป้องกันการโจมตีจากภายนอก เช่น การใช้ฟิลเตอร์ IP หรือการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

 

โดยรวมแล้ว เกตเวย์เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันของระบบและเครือข่ายที่มีความแตกต่างกัน ทำให้การสื่อสารและการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

 

การทำงานของอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค

อุปกรณ์เน็ตเวิร์คทั้งหมดทำงานร่วมกันเพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักการทำงานดังนี้

 

● การส่งข้อมูล

การส่งข้อมูลในเครือข่ายจะถูกกำหนดโดยโปรโตคอลที่ใช้งาน เช่น TCP/IP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต อุปกรณ์เน็ตเวิร์คจะทำการตรวจสอบและส่งต่อข้อมูลไปยังปลายทางที่ถูกต้อง

 

● การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์

อุปกรณ์เน็ตเวิร์คสามารถเชื่อมต่อกันผ่านสายแลนหรือการเชื่อมต่อไร้สาย โดยการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมของเครือข่าย

 

● ความปลอดภัย

อุปกรณ์เน็ตเวิร์คส่วนใหญ่มีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลจากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต เช่น การเข้ารหัสข้อมูล หรือการตรวจสอบผู้ใช้งาน

 

7. ไฟร์วอลล์ (Firewall)

ไฟร์วอลล์เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย โดยการตรวจสอบและกรองข้อมูลที่ผ่านเข้ามาและออกจากเครือข่าย ไฟร์วอลล์สามารถป้องกันการโจมตีจากภายนอก เช่น การพยายามเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต ไฟร์วอลล์สามารถอยู่ในรูปแบบของฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ก็ได้

 

8. รีพีทเตอร์ (Repeater)

รีพีทเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการขยายระยะทางของสัญญาณในเครือข่าย โดยรีพีทเตอร์จะรับสัญญาณที่เข้ามาและส่งต่อออกไปในรูปแบบที่แรงและชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สัญญาณสามารถครอบคลุมพื้นที่ที่กว้างขึ้นโดยไม่สูญเสียคุณภาพของสัญญาณ

 

9. บริดจ์ (Bridge)

บริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน โดยปกติแล้วบริดจ์จะใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดเล็ก เช่น เครือข่ายภายในบ้านหรือสำนักงาน เพื่อให้เครือข่ายสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่มีการชนกันของข้อมูล บริดจ์ยังช่วยลดปัญหาการรับส่งข้อมูลที่เกินพิกัดในเครือข่ายอีกด้วย

 

10. เน็ตเวิร์คการ์ด (Network Interface Card – NIC)

เน็ตเวิร์คการ์ดเป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ โดยเน็ตเวิร์คการ์ดจะมีทั้งแบบที่ใช้กับเครือข่ายแบบมีสาย (Ethernet) และแบบไร้สาย (Wi-Fi)

 

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค เหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้การสื่อสารและการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เครือข่ายสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย

 

ติดต่อเราเพื่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสั่งซื้อ

 

สรุป

อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การสื่อสารและการส่งข้อมูลภายในเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการและการจัดการเครือข่ายที่ดี จะช่วยให้เครือข่ายทำงานได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย

Paiboontech

ตัวแทนจำหน่าย
อุปกรณ์ไอที
ยี่ห้อชั้นนำ

ราคาพิเศษ จัดส่งฟรี

Facebook Inbox : https://www.facebook.com/Paiboontech 
Hotline : 02-921-7892
Line@ : @paiboontech
Email : sale@pbt.co.th

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.